การแข่งขันฟุตบอล คาราบาวคัพ รอบ 3 หรือรอบ 32 ทีมสุดท้าย เมื่อ 27 ก.ย. ที่ผ่านมา “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เปิดแอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ เชลซี เกมนี้ เจอร์เกน คล็อปป์ นายใหญ่หงส์แดง ปรับผู้เล่น 8 ตำแหน่ง โดยส่ง ฟาบินโญ่ ลงสนาม ส่วนนักเตะเดิมที่ลงในเกมเอาชนะ เซาแธมป์ตัน 3-0 เหลือเพียง โจเอล มาติป, ซาดิโอ มาเน่ และ แซร์ดาน ชากิรี โดยโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ เป็นเพียงตัวสำรอง
ต้นเกม เชลซี บุกได้น้ำได้เนื้อกว่า นาที 18 เชสก์ ฟาเบรกาส ตักบอลข้าม เดยัน ลอฟเรน เข้าไปให้ โมราตาหลุดเข้าไปกระดกบอลหวังให้ ข้าม ซิมง มิโญเลต์ แต่นายทวารเบลเยี่ยมปัดได้แต่ปัดไม่ขาด โมราตา ปรี่เข้าซ้ำมุมแคบ แต่บอลผ่านหน้าปากประตูไป
นาที 32ความเร็วของ แซร์ดาน ชากิรี เล่นงานแผงหลังของเชลซีบ้าง ก่อนเปิดโด่งให้ ซาดิโอ มาเน่ โขกเล่นทางแต่ยังไม่ผ่าน กาบาเยโร่ นายทวารเชลซี
ครึ่งหลัง นาทีแรก ลิเวอร์พูลได้ บุก ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ ฉกบอลจากความผิดพลาดของแผงหลังเชลซี ก่อน ล็อกหลบ กาบาเยโร่ ไปแล้ว เหลือแค่ปากประตูโล่งๆ แต่ดันยิงหลุดกรอบไปเอง
นาที 58 สเตอร์ริดจ์มาแก้ตัวให้ หงส์แดงได้เฮ ซาดิโอ มาเน่ หลุดเข้าไปยิงเต็มข้อ วิลลี่ กาบาเยโร่ พุ่งปัดได้แต่ไม่พ้นอันตราย ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ ลอยตัวโอเวอร์เฮดคิกซ้ำเข้าไปอย่างสวยงาม ส่งลิเวอร์พูลออกนำ 1-0
ช่วงท้ายเกม คล็อปป์ เปลี่ยนโรแบร์โต ฟิร์มิโน่ ลงมาบ้าง ขณะที่ เชลซี ยังคงตั้งหน้าตั้งตาบุกหนัก และความพยายามของเชลซีก็สัมฤทธิ์ผลก็ โมราตา เปิดฟรีคิกจากฝั่งขวา โค้งเข้ามาให้รอสส์ บาร์กลี โหม่ง ตรงตัว มิโญเล่ต์ ล้มตัวปัด แต่ตรงนั้นมี เอเมอร์สัน ยืนอยู่จิ้มสวนเข้าไปเป็นประตูตีเสมอ 1-1 ในนาที 78
ลิเวอร์พูลที่เปลี่ยนตัวทะยอยเปลี่ยนตัวไปก่อนหน้านี้เริ่มระส่ำ เอเดน อาร์ซาร์ ฉีกฝั่งซ้ายของลิเวอร์พูลกระจุย โยกหลบ นาบี เกอิตา เข้าไปยิงยัดเข้าไปให้ เชลซีแซงนำในนาที 85
เจอร์เกน คล็อปป์ ปรับหมากทันที ถอด ฟาบินโญ่ ออกและส่ง โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ หัวหอกตัวหลักของทีมลงมาแทน แต่ไม่มีโอกาสมากนัก จบเกม เชลซี แซงเอาชนะ 2-1 หยุดสถิติชนะในทุกรายการ 7 นัดรวดของลิเวอร์พูลไว้เท่านั้น
คู่อื่นๆ
อาร์เซนอล 3-1 เบรนต์ฟอร์ด
ฟอเรสต์ 3-2 สโต๊ก
เวสต์แฮม 8-0 แม็กเคิลฟิลด์ ทาวน์
สเปอร์ 4-2 วัตฟอร์ด จุดโทษ
(เสมอในเวลา 2-2)